ลงทุนกับ myinvestmentarea

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

บทที่ ๒ - ๘ พุทธจริยาอันเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

  • พระพุทธเจ้าทรงสมบูรณ์ด้วยความรู้แจ้งจริง ทรงมีความบริสุทธิ์ทั้งทางกาย วาจา และใจ ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองจิตโดยประการทั้งปวง ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ คือทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เองแล้วสั่งสอนให้คนอื่นรู้ตาม ทรงมีความกรุณาอันยิ่งใหญ่ เสียสละความสุขส่วนพระองค์เสด็จออกไปสั่งสอนแนวทางพ้นทุกข์แก่ชาวโลก โดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก สิ่งที่ทรงบำเพ็ญตลอดระยะเวลา ๔๕ ปีหลังตรัสรู้ เรียกกันว่า "พุทธจริยา"
  • พุทธจริยา แปลตามศัพท์ว่า พระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้า หรือพูดอย่างภาษาสามัญก็คือ ความประพฤติที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นมี ๓ ประการคือ
  1. โลกัตถจริยา พุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก
  2. ญาตัตถจริยา พุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญเพื่อประโยชน์แก่พระประยูรญาติทั้งหลาย
  3. พุทธัตถจริยา พุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญประโยชน์ในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้า

๑. โลกัตถจริยา : การบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลก การที่พระพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์แก่ชาวโลกนั้น แสดงออกในพุทธกิจประจำวันนั่นเอง ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วันเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นแทบทั้งสิ้น พระองค์แทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลย แม้กระทั่งจะประชวรหนักอย่างไรก็ทรงอุตส่าห์ข่มทุกขเวทนา พยายามสั่งสอนผู้อื่น ดังเช่นทรงโปรดสุภัททปริพาชก เมื่อครั้งพระองค์จวนจะปรินิพพาน เป็นต้น พุทธกิจประจำวันแบ่งเป็น ๕ ประการ คือ

  • ช่วงเช้า (ตอนเช้ามืด) เสด็จออกบิณฑบาต การเสด็จบิณฑบาตนี้นอกจากจะเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้ทำบุญตักบาตรแล้ว พระพุทธเจ้ายังถือเป็นโอกาสดีที่จะได้แสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ (หมายถึงบุคคลที่สามารถแนะนำสั่งสอนให้เข้าถึงธรรมได้) ตามสมควรแก่กรณี เพราะฉะนั้นเราจึงมักเรียกการบิณฑบาตรของพระภิกษะโดยทั่วไปว่า "ไปโปรดสัตว์"
  • ช่วงกลางวัน (หลังเสวยพระกระยาหารเช้า) ทรงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี แสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชนในท้องถิ่นนั้น
  • ช่วงกลางคืนยามที่ ๑ (เวลาประมาณพบค่ำ - ๓ ทุ่ม) ทรงใช้เวลาตลอดยามนี้ ตอบปัญหาชี้แนะการปฏิบัติกรรมฐาน แสดงธรรม หรือให้คำปรึกษาหารือแก่พระภิกษุสงฆ์
  • ช่วงกลางคืนยามที่ ๒ (เวลาประมาณ ๓ ทุ่ม - เที่ยงคืน) ทรงใช้่เวลาตลอดยามนี้ตอบปัญหาธรรมะและแสดงธรรมแก่เทวดาทั้งหลายที่เสด็จเข้ามาเฝ้า
  • ช่วงกลางคืนยามที่ ๓ (เวลาประมาณเที่ยงคืน - ตี ๓) ในช่วงแรกจะเสด็จดำเนินจงกรมเืพื่อให้พระวรกายผ่อนคลาย ช่วงที่ ๒ เสด็จเข้าบรรทม ช่วงที่ ๓ ตื่นจากบรรทม ประทับนั่งแล้วพิจารณาการสอดส่องเลือกสรรบุคคลที่พระองค์ควรจะเสด็จไปโปรดในช่วงเช้า

๒. ญาตัตถจริยา : การบำเพ็ญประโยชน์แก่พระประยูรญาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า การสงเคราะห์ญาติเป็นมงคลยิ่งอย่างหนึ่งในจำนวนมงคล ๓๘ ประการ พระพุทธเจ้าเองมิได้ทรงละเลยหน้าที่นี้ การสงเคราะห์พระญาติของพระองค์พอประมวลได้ ดังนี้

  • เมื่อตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงรอเวลาอันสมควรจึงได้เสด็จนิวัติพระนครกบิลพัสดุ์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดาจนสำเร็จเป็นพระโสดาบัน หลังจากนั้นมา แม้ว่าพระองค์จะไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก แต่พระองค์ก็ยังเสด็จไปเยี่ยมพระพุทธบิดาเป็นครั้งคราว เมื่อพระพุทธบิดาสิ้นพระชนม์ก็ได้เสด็จมาถวายพระเพลิงพระบรมศพในฐานะ "ลูก" ที่ดี แสดงแบบอย่างแห่งความกตัญญูกตเวทิตาธรรมให้ปรากฏ
  • กล่าวกันว่า พระองค์เสด็จไปแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงห์ เป็นการทดแทนบุญคุณพระมารดาบังเกิดเกล้าสถานหนึ่งด้วย จากเรื่องนี้ทำให้เกิดประเพณีเทศน์อภิธรรมโปรดมารดาหรือแต่งหนังสืออภิธรรมโปรดมารดาสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ เช่น พญาลิไท กษัตริย์ สุโขทัย ทรงพระราชนิพนธ์ "ไตรภูมิพระร่วง" ทรงบอกจุดประสงค์ไว้ประการหนึ่งว่าเพื่อโปรดพระมารดา
  • ทรงชักนำขัตติยกุมารจากศากยตระกูลหลายองค์ออกบวช เช่น พระอานนท์ พระอนุรุทธะ เป็นต้น นอกจากช่วยอนุเคราะห์ให้ท่านเหล่านั้นได้มาพบทางพ้นทุกข์เป็นการส่วนตัวแล้ว ท่านเหล่านั้นยังได้เป็นกำลังสำคัญในการบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลกด้วย เท่ากับได้ผลสองต่อ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงเผื่อแผ่ประโยชน์ด้านนี้แก่พระญาติที่เป็นสตรีด้วย ดังได้ทรงอนุญาตให้พระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งมีฐานะเป็นพระมาตุจฉา(น้า) ของพระองค์ บวชเป็นภิกษุณี เป็นต้น
  • บางครั้งเกียรติยศของศากยตระกูล ถูกคนเข้าใจผิดกล่าวร้ายให้โทษ พระองค์ก็ทรงช่วยชี้แจงให้เข้าใจพระญาติของพระองค์ในทางที่ถูก
  • เมื่อพระญาติทั้งสองฝ่าย คือศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ กำลังจะทำสงครามแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณีมาทำการเกษตร พระองค์ก็เสด็จไปห้ามทัพ ชี้แจงให้เห็นถึงความพินาศอันจะตามมาเพราะการทะเลาะเบาะแว้งกันในเรื่องเล็กน้อยนี้ จนทั้งสองฝ่ายหันมาปรองดองคืนดีกันในที่สุด การห้ามสงครามระหว่างเครือญาติของพระองค์ครั้งนี้ นับเป็นการทำประโยชน์แก่พระญาติครั้งสำคัญยิ่ง จึงมีพระพุทธรูปปางหนึ่งสร้างเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวเรียกว่า พระพุทธรูปปางห้ามญาติ (พระพุทธรูปยืนยกพระหัตถ์ขวาในท่าห้ามปราม) ฉ.ก่อนเสด็จปรินิพพานเล็กน้อย พระเจ้าวิฑูฑภะกษัตริย์แห่งแคว้นโกศล ยกทัพไปหมายทำลายล้างพวกศากยะให้สิ้น เพื่อชำระความแค้นแต่หนหลังที่ถูกพวกศากยะดูหมิ่นสมัยยังทรงพระเยาว์พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าจะเกิดความพินาศย่อยยับแก่ศากยวงศ์ สุดจะทนนิ่งดูดาย จึงเสด็จไปป้องกันไว้ถึง ๓ ครั้ง แต่ครั้งที่ ๔ เป็นคราวเคราะห์กรรมของพวกศากยะ ไม่สามารถทัดทานได้ พระเจ้าวิฑูฑภะ ได้ทำลายล้างเมืองกบิลพัสดุ์เกือบหมดสิ้น สรุปความว่าพระพุทธเจ้าถึงแม้จะอยู่ในฐานะเป็น "คนของโลก" แล้วก็ตาม พระองค์ยังไม่ลืมสายสัมพันธ์แห่งเครือญาติ ทรงอนุเคราะห์ช่วงเหลือพระญาติทั้งหลาย ทั้งส่วนปัจเจกบุคคลและส่วนรวม ตามความเหมาะสมและตามควรแก่กรณี

๓. พุทธัตถจริยา : การบำเพ็ญประโยชน์ในฐานะพระพุทธเจ้า หลังจากตรัสรู้แล้่ว พระพุทธเจ้าทรงอุทิศพระองค์เพื่อสร้างประโยชน์สุขให้แก่ชาวโลก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยชี้แนะหนทางที่จะทำให้สัตว์โลกทั้งหลายหลุดพ้นจากสังสารวัฎ หรือหาทางป้องกันมิให้สัตว์โลกทั้งปวงก้าวเข้าไปสู่ความเสื่อม ความจริงการประโยชน์แก่ชาวโลกก็นับรวมอยู่ในข้อโลกัตถจริยานั่นเอง แต่การแยกนำมาพูดก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงพุทธจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าให้เห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น

ภารกิจที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำในฐานะที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้ามีอยู่มากมาย เช่น

๓.๑ ช่วยสัตว์โลกให้หลุดพ้นห้วงความทุกข์คือ ให้หลุดพ้นจากสังสารวัฎหรือ การเวียนว่ายตายเกิดตามพระประณิธานที่ทรงตั้งไว้ตลอดเวลาอันยาวนาน ที่ทรงบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณ เมื่อทรงข้ามพ้นทุกข์ด้วยพระองค์แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาช่วยสัตว์อื่นให้หลุดพ้นทุกข์ด้วย โดยการชี้แนะคนที่ชี้แนะได้ฝึกฝนอบรมคนที่ฝึกอบรมได้

๓.๒ ช่วยวางรากฐานการสร้างความดี หรือสร้างอุปนิสัยที่ดีในภายหน้า ในกรณีคนที่แนะหรือฝึกไม่ได้ หยาบช้าหนาแน่นด้วยกิเลสตัณหาเกินกว่าจะเข้าถึงธรรมได้ในปัจจุบัน พระองค์ก็ไม่ทรงทอดทิ้ง ดังกรณีพระเทวทัต ทรงทราบด้วยพระญาณก่อนแล้วว่า พระเทวทัตจะมุ่งทำลายพระองค์และกระทำสังฆเภท (สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์) แต่พระองค์ก็ทรงบวชให้ ด้วยทรงเห็นว่าการบวชประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนาย่อมจักมีความดีงามพอที่จะเป็นอุปนิสัยปัจจัยแก่พระเทวทัตได้บ้างในภายภาคหน้า

๓.๓ ช่วยสัตว์โลกมิให้ก้าวเข้าสู่ความเสื่อม พระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าอีกประการหนึ่ง ก็คือนอกเหนือจากชี้ทางสวรรค์นิพพานให้แก่คนที่พร้อมที่จะดำเนินสู่ทางนั้นแล้ว ยังช่วยปิดอบายหรือปิดกั้นมิให้คนบางประเภทถลำลึกลงสู่ทางเสื่อมฉิบหายมากขึ้น เช่น เสด็จไปโปรดโจรองคุลิมาลก่อนที่จะพบมารดาระหว่างทางและก่อนที่จะกระทำมาตุฆาต (ฆ่ามารดาอันเป็นกรรมหนัก)

๓.๔ ทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อความดำรงมั่นแห่งพระพุทธศาสนา เมื่อเริ่มประกาศพระพุทธศาสนาในระยะแรก ๆ ยังไม่มีพระวินัยหรือศีลสำหรับให้พระภิกษุได้รักษามากมายดังในเวลาต่อมา ผู้เข้ามาบวชส่วนมากเป็นผู้ที่เบื่อหน่ายในโลกียวิสัยแล้ว พร้อมที่จะปฏิบัติตนเพื่อบรรลุธรรมชั้นสูงสุด วินัยหรือศีลสำหรับควบคุมความประพฤติจึงยังมีไม่มาก มีเพียงหลักการกว้าง ๆ ว่า พระภิกษุไม่พึงกระทำกิจ ๔ ประการคือ เสพเมถุน (เสพกาม),ลักทรัพย์,ฆ่ามนุษย์ และอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ต่อมาเมื่อมีผู้ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่การดำรงเพศสมณะขึ้น มีผู้ตำหนิติเตียน พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติพระวินัยห้ามมิให้มีการกระทำที่ไม่สมควรเช่นนั้นอีกต่อไป และได้บัญญัติเพิ่มเติมแก้ไขให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ที่เรียกว่า “ศีล” มีทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ (ไม่นับรวมข้อบัญญัติเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกมาก) พระวินัยที่ทรงบัญญัติขึ้นนี้เป็นเครื่องควบคุมให้สถาบันสงฆ์มีความสงบเงียบร้อยเป็นที่เลื่อมใสของประชาชนทั่วไป และเป็นเครื่องจรรโลงพระพุทธศาสนาให้ดำรงมั่นคงยืนนาน ๓.๕ ทรงสถาปนาสถาบันสืบทอดพระพุทธศาสนา เมื่อมีผู้เข้ามาบวชมากขึ้น ทั้งบุรุษและสตรี พระองค์ได้ทรงตั้งสถาบันพุทธบริษัทขึ้น เรียกว่า “บริษัทสี่” คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พร้อมทั้งทรงวางหน้าที่ที่แต่ละบริษัทจะพึงปฏิบัติ และหน้าที่ที่พุทธบริษัทจะพึงร่วมกันทำเพื่อความวัฒนาสถาพรแห่งพระพุทธศาสนาดังนี้

๑) หน้าที่ของแต่ละบริษัท

ก. ภิกษุ ภิกษุณี มีหน้าที่ดังนี้

  • ห้ามปรามมิให้เขาทำความชั่ว
  • แนะนำสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความดี
  • อนุเคราะห์ด้วยความปรารถนาดี
  • สั่งสอนสิ่งที่เขายังไม่เคยได้ยินได้ฟัง
  • ชี้แจงอธิบายสิ่งที่เขาเคยได้ยินได้ฟังแล้วให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
  • สอนวิธีดำเนินชีวิตที่ดีงามให้

ข. อุบาสก อุบาสิกา มีหน้าที่ดังนี้

  • ทำ พูด คิด ต่อพระสงฆ์ด้วยเมตตา
  • ต้อนรับพระสงฆ์ด้วยความเต็มใจ
  • อุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ด้วยปัจจัยสี่

๒) หน้าที่ของบริษัททั้ง ๔

หน้าที่ของบริษัททั้ง ๔ จะพึงทำร่วมกันมีดังนี้

  • ศึกษาคำสอนทางพระพุทธศาสนาให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
  • ปฏิบัติตามท่ได้ศึกาเล่าเรียนมาตามความสามารถจนได้รับผลจากการปฏิบัติ
  • เผยแพร่คำสอนให้ผู้อื่นได้รู้ตาม
  • ปกป้องพระพุทธศาสนาจากภัยทั้งภายในและภายนอก

บทที่ ๒ - ๗ พุทธโอวาท ๓

พุทธโอวาท ๓
  • โอวาท แปลว่า คำแนะนำ คำตักเตือน คำสอน ในที่นี้ หมายถึง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ๓ ข้อ ซึ่งถือว่า เป็นแก่นสำคัญหรือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา โอวาท ๓ นี้ พระพุทธเจ้า ทรงแสดงแก่พระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป ในวันมาฆบูชา ซึ่งมีประเด็นสำคัญอยู่ ๓ ประการ คือ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การทำความดีให้ถึงพร้อม การทำจิตใจให้บริสุทธิ์
๑. การไม่ทำความชั่วทั้งปวง คนเราทำความชั่วได้ ๓ ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดทั้งทางด้านกฎหมาย ศีลธรรมและขนบประเพณี ขึ้นอยู่กับว่าจะประพฤติชั่วแบบใด เพราะการทำความชั่วบางอย่างแม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่ผิดศีลธรรมหรือขนบประเพณีได้ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง แยกออกได้ดังนี้
๑) การไม่ทำความชั่วทางกาย ได้แก่
ก. ไม่ทำร้ายหรือเบียดเบียนผู้อื่น ไม่นำสัตว์มาทรมานมากักขัง
ข. ไม่ลักขโมย ไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้ือื่น
ค. ไม่ประพฤติผิดในกาม รวมตลอดไปถึงการไม่ทำลายวัตถุสิ่งของอันเป็นที่รักของผู้อื่น
๒) การไม่ทำความชั่วทางวาจา ได้แก่
ก.ไม่พูดเท็จ ไม่พูดหลอกลวง
ข.ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดยั่วยุให้คนแตกความสามัคคีกัน
ค.ไม่พูดคำหยาบ
ง. ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล อันหาสาระประโยชน์มิได้
๓) การไม่ทำความชั่วทางใจ ได้แก่
ก.ไม่คิดโลภอยากได้ของผู้อื่นโดยมิชอบ
ข.ไม่คิดพยาบาท ปองร้าย หรือคิดแก้แค้น
ค. ไม่เห็นผิดเป็นชอบ ไม่หลงงมงายกับความคิดที่ผิดเช่น ไม่คิดว่าการที่เราทำทุจริต แล้วเขาจับไม่ได้ เป็นเพราะเรามีความสามารถหรือเป็นคนเก่ง เป็นต้น
๒. การทำความดีให้ถึงพร้อม
การไม่ทำความชั่วดังที่กล่าวมา ถือได้ว่าเป็นการทำความดีถึงระดับหนึ่งแล้ว แต่จะให้ดีจริงต้องไม่เพียงแต่ละเว้นความชั่ว หากแต่ต้องประกอบคุณงามความดีด้วย การทำความดีก็ทำได้ ๓ ทางคือ ทางกาย ทางวาจา และทางใจ เช่น
๑) การทำความดีทางกาย ได้แก่
ก.มีเมตตากรุณาช่วยเหลือผู้อื่น คือปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ไม่อยากให้เขาได้รับความเดือดร้อนทั้งทางกายและทางใจ
ข.เคารพกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตน
ค.มีความสำรวมในกาม ไม่ล่วงละเมิดประเพณีทางเพศ
๒) การทำความดีทางวาจา ได้แก่
ก.พูดแต่ความจริง มีสัจจะ ไม่พูดเท็จหรือพูดให้ผิดจากความเป็นจริง
ข.พูดแต่คำที่ช่วยส่งเสริมความสามัคคี ช่วยให้คนที่แตกร้าวคืนดีกันไม่พูดยุยงให้คนขัดใจกัน
ค.พูดแต่คำสุภาพอ่อนหวาน ไม่พูดคำหยาบ
ง.พูดแต่คำที่มีสาระประโยชน์ พูดให้ถูกกาลเทศะ ไม่พูดเพ้อเจ้อ
๓) การทำความดีทางใจ ได้แก่
ก.พอใจแต่ของที่ได้มาโดยชอบ ไม่คิดโลภในทางทุจริต
ข.แผ่เมตตาให้สัตว์โลกทั้งหลายมีความสุข ไม่มีจิตคิดร้ายต่อใคร ๆ
ค.มีความเห็นชอบ คือเชื่อกฏแห่งกรรม เชื่อว่าทำดีไดดี ทำชั่วได้ชั่ว
๓. การทำจิตใจให้บริสุทธิ์
  • มนุษย์เรามีทั้งร่างกายและจิตใจ ความสะอาดของร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความสะอาดของจิตใจก็สำคัญเหมือนกัน เพราะในแง่ของความประพฤติ จิตใจเป็นใหญ่กว่าร่างกาย เพราะเมื่อใจคิดก่อนแล้วจึงสั่งให้ร่างกายทำตาม ปกติคนเรานั้นมีจิตใจเป็นใหญ่กว่าร่างกาย ความบริสุทธิ์ของจิตใจจึงมีความสำคัญมากกว่า คนที่สะอาดทั้งกายและใจนั้นย่อมเป็นคนดีน่าคบบค้าสมาคม แต่ถ้าคนๆหนึ่งร่างกายค่อนข้างสกปรกแต่ใจบริสุทธิ์ กับอีกคนหนึ่งร่างกายสะอาดหมดจดแต่จิตใจสกปรก เราก็คงอยากคบหาคนแรกมากกว่า
  • ฉะนั้นเมื่อเราละเว้นไม่ทำความชั่วทั้งทางกาย วาจา ใจ และพยายามทำความดีให้ถึงพร้อมแล้วเราก็ควรทำใจให้บริสุทธิ์ด้วย โดยการหมั่นฝึกฝนตนเองให้มีกุศลมูลหรือรากเหง้าแห่งความดีขึ้นในจิตใจอีก ๓ ประการ ได้แก่
๑) อโลภะ ความไม่โลภ คือหมั่นฝึกอบรมจิตใจตนเองให้สามารถระงับตัณหาหรือความอยากได้ โดยไม่ปล่อยให้ตัณหาเกิดขึ้น คนที่ไม่อยากได้สิ่งของของผู้อื่น ย่อมจะไม่ทำความชั่วโดยการลักขโมย ฉ้อโกง เป็นต้น
๒) อโทสะ ความไม่โกรธ ไม่ประทุษร้าย คือพยายามฝึกจิตใจของตนให้เป็นคนมีเมตตา ปรารถนาที่จะเห็นผู้อื่นอยู่อย่างเป็นสุข ไม่เบียดเบียนกัน ผู้ที่มีจิตปราศจากโทสะย่อมจะไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ด่าว่าด้วยคำหยาบ และไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ตรงกันข้ามกลับจะเป็นคนดีคอยช่วยเหลือเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้รับแต่ความสุข
๓) อโมหะ ความไม่หลง คือต้องฝึกอบรมจิตใจของตนให้รู้จักเหนุ รูจักผล รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์ ผู้ที่ปราศจากความหลงย่อมมีชีวิตอยู่อย่างผาสุก มีความเจริญก้าหน้า ไม่มัวเมาอยู่กับอบายมุขและไม่เกลือกกลั้วอยู่กับสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ

บทที่ ๒ - ๖ พระจริยาวัตรที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง

พระจริยาวัตรที่ควรยึดถือเป็นแบบอย่าง
๑. ทรงมีเมตตากรุณาสูงยิ่ง พระองค์ทรงเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ก็ทรงสงสารอยากให้เขาได้พ้นทุกข์ จึงเสด็จออกผนวช เพื่อตรัสรู้แล้วจะได้ช่วยเหลือผู้ตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์เหล่านั้น
  • แม้พระเทวทัตจะคิดมุ่งร้ายทำลายพระองค์ให้ถึงกับสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็มิได้มีพระทัยโกรธเคือง ตรงกันข้ามกลับทรงสงสารปรารถนาให้พระเทวทัตละเว้นจากความประพฤติชั่วนั้นให้ได้ เป็นที่ทราบกันว่า พระองค์ทรงรักและเมตตาต่อราหุลกุมารมากเพียงใด พระองค์ก็ทรงรักและเมตตาต่อผู้ทีี่ี่มุ่งร้ายพระองค์มากเพียงนั้นเช่นกัน นี่คือตัวอย่างแห่งความเมตตากรุณาของพระุพุทธเจ้า
๒. ทรงมีความพากเพียรสูงยิ่ง เมื่อพระองค์ตั้งพระทัยจะทำอะไรแล้ว ทรงพยายามจนสุดความสามารถเพื่อให้ได้สิ่งที่ทรงประสงค์ พระองค์ทรงต้องการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ จึงได้พยายามอย่างเต็มที่ ด้วยการทรมานพระองค์ด้วยวิธีต่าง ๆ จนกระทั่งท้ายสุดทรงอดอาหารจนพระวรกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกในที่สุดทรงตั้งปณิธานว่า "ตราบใดที่ยังไม่บรรลุสิ่งที่ต้องการจะไม่ยอมลุกจากที่นั่ง แม้เนื้อและโลหิตจะเหือดแห้งไปเหลือแต่กระดูกก็ตามที"
๓. ทรงใฝ่รู้และทรงแก้ปัญหาด้วยปัญญา ตั้งแต่ทรงพระเยาว์พระองค์ทรงอยากรู้ว่าทำไมคนจึงเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็พยายามแสวงหาความรู้จากการทดลองด้วยพระองค์เอง จนกระทั่งทรงรู้แจ้งบในที่สุด พระองค์ทรงใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา คือเมื่อทรงทำอะไรผิดพลาดล้มเหลว ก็ทรงพิจารณาว่า ความผิดพลาดหรือความล้มเหลวนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร และควรจะแก้ไขอย่างไร ดังกรณีที่ทรงคิดว่า การอดอาหารจะทำให้บรรลุครั้นทำไปนานเข้าจนกระทั่งทรงซูบผอมสิ้นพละกำลัง ก็ทรงตระหนักว่า วิธีทรมานตนมิใช่แนวทางที่ถูกต้องจึงทรงหันมาดำเนินตามทางสายกลางเป็นต้น
๔. ทรงเป็นนักเสียสละ คนที่เสียสละจะไม่เห็นแก่ประโยชน์ตน และประโยชน์ของพวกตน แต่จะยอมสละความสุขส่วนตัวและประโยชน์ที่ตนพึงได้ เพื่อเห็นแก่ประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่เจ้าชายสิทธัตถะอยากให้สัตว์โลกได้พ้นจากความทุกข์ จึงยอมเสียสละพระชายา พระโอรสละทิ้งราชสมบัติที่พระองค์จะพึงได้ ยอมสละความสุข สนุก สบาย ที่เจ้าชายในราชสำนักจะพึงได้ พระองค์สละหมดทุกอย่าง เพื่อหาทางช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นทุกข์

บทที่ ๒ - ๕ นิกายศาสนา

นิกายศาสนา
  • เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ประมาณ ๑๐๐ ปี พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามี ความคิดเห็นแตกต่างกันในการตีความพระพุทธบัญญัติ (วินัย) จึงแยกนิกายออกเป็น ๒ นิกาย คือ
๑. นิกายเถรวาทหรือหีนยาน ได้ขยายตัวไปทางประเทศลังกา พม่า ไทย เขมร ลาว
๒. นิกายมหายาน ขยายตัวไปทางธิเบต จีน ญวน เกาหลี ญี่ปุ่น
  • ทั้งสองนิกายคงปฏิบัติธรรมของพระถทธเจ้าเหมือนกัน แต่ตีความพุทธบัญญัติแตกต่างกัน

บทที่ ๒ - ๔ ปรินิพพาน

ปรินิพพาน
  • เมื่อทรง สถาปนาพุทธบริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ขึ้นมา แต่ละบริษัทก็เจริญแพร่หลายมีความรู้ความสามารถที่จะสืบสานต่อเจตนารมณ์ของ พระพุทธองค์ และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไปได้แล้วพระพุทธเจ้าจึงทรงตัดสินพระทัย เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน (สวนสาละ) ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ (วันวิสาขบูชา) ขณะพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้ตรัสพระโอวาทครั้งสุดท้ายว่า
"ภิกษุ ทั้งหลายเราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังกิจของตนและกิจของผู้อื่น ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด"

บทที่ ๒ - ๓ ทรงประกาศพระศาสนาและมอบความเป็นใหญ่ให้พระสงฆ์

ทรงประกาศพระศาสนาและมอบความเป็นใหญ่
  • เมื่อ ตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงพักผ่อนเป็นเวลา ๗ สัปดาห์ แล้วเสด็จไปเผยแผ่พระศาสนา โดยเสด็จไปแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี การแสดงธรรมครั้งแรกนี้เรียกว่า "ปฐมเทศนา" ธรรมที่ทรงแสดงเรียกว่า "ธัีมมจักกัปปวัตตนสูตร" ซึ่งว่าด้วยแนวทางที่พึงปฏิบัติ เรียกว่า "มัชฌิมปฏิปทาหรือทางสายกลาง" (อริยมรรคมีองค์ ๘) และ "อริยสัจสี่"
  • หลังจากจบพระธรรมเทศนา ท่านโกณฑัญญะ ได้เกิด "ดวงตาเห็นธรรม" ในวันเพ็ญเดือน ๘ (วันอาสาฬหบูชา) จึงทูลขอบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมาอีกสี่ท่านที่เหลือก็ได้ดวงตาเห็นธรรมและทูลขอบวชตามลำดับ
  • ต่อ จากนั้นมา ได้มีผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้ามาบวชเป็นจำนวนมาก อาทิ ยสกุลบุตร พร้อมสหายชาวเมืองพาราณสี และบริวารจำนวนรวม ๕๕ คน ชั่วระยะเวลาไม่นาน ก็มีพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้าจำนวน ๖๐ รูป ซึ่งมีจำนวนมากพอ พระองค์จึงทรงให้แยกย้ายกันไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังแว่นเคว้นต่าง ๆ ส่วนพระองค์ได้เสด็จไปโปรดชฏิล (นักบวชเกล้าผม) ๓ พี่น้อง พร้อมทั้งบริวารจำนวน ๑,๐๐๐ รูป ที่ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของพระเจ้าพิมพิสารและประชาชนชาวเมืองราชคฤห์ ชฎิลทั้งหมดยอมละทิ้งลัทธิความเชื่อเดิมของตน กราบทูลขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พระเจ้าพิมพิสาร ได้ถวายสวน (ไผ่) และสร้างขึ้นเป็นวัดสำหรับเป็นที่ประทับขชองพระพุทธเจ้า ชื่อว่า "พระเวฬุวันมหาวิหาร (หรือวัดเวฬุวัน)" นับเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา
  • ณ เมืองราชคฤห์นี้ เด็กหนุ่มสองคนซึ่งเป็นศิษย์ของสัญชัยเวลัฎฐบุตร นักปรัชญาเมธีผู้มีื่ชื่อเสียงคนหนึ่ง ได้มาขอบวชเป็นสาวกและมีชื่อเรียกทางพระพุทธศาสนาในเวลาต่อมาคือ พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ตามลำดับ ทั้งสองท่านได้รับแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าให้เป็นพระอัครสาวก โดยพระสารีบุตร เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา มีความเป็นเลิศกว่าผู้อื่นทางปัญญา และพระโมคคัลลานะ เป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย เป็นเลิศกว่าผู้อื่นทางมีฤทธิ์มาก
  • เมื่อ ประดิษฐานพระศาสนาในแคว้นมคธได้อย่างมั่นคงแล้ว ต่อมาไม่นานพระพุทธศาสนาก็มีศูนย์กลางแห่งใหม่ที่เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล โดยอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้สร้างวัดพระเชตวันขึ้น แล้วกราบทูลอารธนาพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ไปอยู่ประจำ และนางวิสาขามหาอุบาสิกาเศรษฐินิีคนหนึ่ง ก็มีจิตศรัทธาสร้าง วัดบุพพาราม ถวายด้วย
  • ในระยะแรก ๆ พระพุทธเจ้าจะทรงบวชให้เฉพาะผู้ที่มาทูลขอบวชต่อพระองค์เอง ซึ่งวิธีนี้เรียกว่า "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" ต่อมาเมื่อจำนวนคนมาขอบวชมีมากขึ้น บ้างก็อยู่ห่างไกลไม่สามารถจะเดินทางมารับการบาชจากพระองค์ได้ พระองค์จึงทรงมอบภาระหน้าที่นี้แก่พระสงฆ์ โดยทรงมอบความเป็นใหญ่ให้พระสงฆ์ปกครองกันเอง โดยมีพระธรรมวินัยเป็นหลักในการปกครอง การทำสังฆกรรม (สิ่งที่พระสงฆ์พึงทำ) ทุกอย่าง จะต้องประชุมปรึกษาหารือกัน บางเรื่องต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ บางเรื่องต้องได้รับความเห็นชอบโดยเสียงข้างมากจึงจะใช้ได้ จะเห็นว่าลักษณะการปกครองและการอยู่รวมกันในแวดวงของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เป็นบรรยากาศแห่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตลอดระยะเวลา ๔๕ ปี แห่งการประกาศศาสนา ได้มีคนยอมรับนับถือพุทธศาสนาจำนวนมากมาย คนเหล่านั้นเรียกว่า พุทธบริษัท หรือพุทธศาสนิก แบ่งเป็น ๔ เหล่า คือ
๑. ภิกษุ
๒. ภิกษุณี
๓. อุบาสก
๔. อุบาสิกา

บทที่ ๒ - ๒ ตรัสรู้

ตรัสรู้
  • พระสิทธัตถะ ได้เสด็จดำเนินโดยลำพังไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้าทรงรับข้าว "มธุปายาส" จากนางสุชาดา ซึ่งนำมาถวายด้วยเข้าใจว่าเป็นเทวดาที่ตนบนบานขอลูกชายไว้ หลังเสวยข้าวมธุปยาสแล้ว ทรงลอยถาดในแม่น้ำเนรัฐชรา ทรงรับหญ้าคา ๘ กำ จากนายโสตถิยะมาปูลาดเป็นอาสนะ (ที่นั่ง) ณ โคนต้นโพธิประทับนั่งขัดสมาธิ ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก พระปฤษฏางค์พิงต้นโพธิ ทรงพิจารณาความเป็นจริงของธรรมชาติทั้งหลายจนเกิดญาณ (การหยั่งรู้สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง)
  • ความรู้แจ่มแจ้งนั้น ปรากฎขึ้นในพระทัยของพระองค์ดุจมองเห็นด้วยตาเปล่าเกิดความสว่างโพลงภายใน ที่ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ เป็นความรู้ที่สามารถตอบปัญหาที่ค้างพระทัยมาเป็นเวลา ๖ ปีได้สำเร็จ
  • สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้เรียกว่า "อริยสัจ" (ความจริงอันประเสริฐ) มี ๔ ประการ คือ
๑. ทุกข์ ความทุกข์ หรือปัญหาของชีวิตทั้งหมด โดยย่อคือ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
๒. สมุทัย สาเหตุของทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหาชีวิต ได้แก่ ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และ วิภวตัณหา
๓. นิโรธ ความดับทุกข์ หรือภาวะหมดปัญหา คือ พระนิพพาน
๔. มรรค ทางดับทุกข์ หรือแนวทางแก้ปัญหาชีวิต คือ
มัชฌิมาปฏิปทาได้มรรค มีองค์ ๘ ซึ่งสรุปลงในไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
  • เมือ่ เกิดความรู้ในอริยสัจนี้ขึ้น ทำให้กิเลส (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) หมดสิ้นไปจากจิตใจพระองค์กลายเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ (ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ) หรือพระพุทธเจ้า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ (วันวิสาขบูชา) ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ขณะที่พระองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา
หลักธรรม
  • คำสอนของพระองค์นั้น จัดเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. พระธรรม ได้แก่ คำสอน ซึ่งขัดเกลาจิตชำระใจของผู้ปฏิบัติให้บริสุทธิ์ มีความสุขความเจริญและคุ้มครองรักษาผู้ประฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว
๒. พระวินัย คือ ข้อบัญญัติที่พระองค์ทรงวางไว้เพื่อควบคุมกายวาจาศาสนิก ให้มีระเบียบเรียบร้อย พระธรรมกับพระวินัย รวมกันเรียกว่า "พระพุทธศาสนา"