ลงทุนกับ myinvestmentarea

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เบญจธรรม

ธรรมกับวินัย

เบญจธรรมนั้น บางทีเรียก กัลยาณธรรม แปลว่า ธรรมอันทำให้ผู้ประพฤติเป็นคนดีงาม บางทีใช้คำว่า เบญจธรรมเฉย ๆ แปลว่า ธรรมห้าอย่าง ก็เป็นอันรู้กันว่าหมายถึงกัลยาณธรรมนี้ ส่วนมากใช้ควบกับคำว่า เบญจศีล เช่นใช้ว่า เบญจศีลเบญจธรรมท่านที่เคยเคร่งศัพท์ใช้เต็มอัตราเลย ก็มีเหมือนกัน คือใช้คำว่า เบญจกัลยาณธรรม

เราได้ทราบมาจากตอนต้นแล้วว่า พระพุทธศาสนาประกอบด้วยพระธรรมกับพระวินัย หมายความว่าโอวาทของพระพุทธองค์ทั้งสิ้นนั้น เมื่อแบ่งออกแล้ว มีอยู่สองประเภท คือ

. ธรรมะ ได้แก่ข้อปฏิบัติต่าง ๆ อันจะทำให้กาย วาจา ใจ ประณีตขึ้น

. วินัย ได้แก่ข้อห้าม หรือระเบียบควบคุมมิให้ตัวเราตกไปสู่ความชั่ว

ธรรมกับวินัยนี้ สำนวนทางพระ เวลาเรียกชอบเรียกว่า ธรรมวินัยแต่สำนวนชาวบ้านเราใช้คำว่า ศีลธรรมเช่นในหลักสูตรโรงเรียนก็เรียกว่า วิชาศีลธรรม ความหมายก็เหมือนกับคำว่า ธรรมวินัย คือ คำว่า ศีล = วินัย คำว่าธรรม = ธรรม

การประพฤติธรรมวินัย

เมื่อพระบรมศาสดาของเรา ได้ทรงรับสั่งไว้ให้เราทราบอย่างชัด ๆ ว่า พระโอวาทของพระองค์มีอยู่สองประการคือ ธรรม กับ วินัย อย่างนี้ เราผู้เป็นศาสนิกของท่าน เป็นผู้รับปฏิบัติตามศาสนาของท่าน ก็ต้องใส่ใจปฏิบัติให้ครบทั้งธรรมทั้งวินัย(ศีล) ควบกันไปเสมอ จึงจะได้ชื่อว่าได้เข้าถึงพระศาสนาที่เรียกว่า เป็นผู้มีศีลธรรม

การรักษาศีลก็ทำให้เราเป็นคนดีได้ แต่เป็นเพียงคนดีขั้นต้น คือดีที่เป็นคนไม่ทำความชั่วเท่านั้นเอง ถ้าหยุดอยู่เพียงนี้อาจเสียได้ ยกตัวอย่างคนเว้นจากการฆ่าสัตว์ ซึ่งเรายอมรับกันว่าเป็นคนมีศีล ถ้าคนผู้นี้เดินเล่นไปตามริมคลอง เห็นเด็กตกน้ำกำลังจะจมน้ำตาย ถ้าจะช่วยเขาก็ช่วยได้ แต่ไม่ช่วย กลับยืน มือก็กอดอกอยู่เฉย ๆ ถือว่าตัวไม่ได้ฆ่า ศีลบริสุทธิ์อยู่ ตามตัวอย่างนี้ ท่านนักศึกษาจะเห็นเป็นอย่างไร คนทั้งโลกก็ต้องลงความเห็นว่า เขาเป็นคนไม่ดี เพราะคนดีจะต้องรู้จักเว้นจากการฆ่าคนด้วย และรู้จักช่วยชีวิตคนด้วย

การเว้นจากการฆ่า นั่นเป็นการรักษาศีล

การช่วยชีวิตเขา นี้เป็นการปฏิบัติธรรม

ฉะนั้น ผู้รักษาศีลห้า พึงประพฤติเบญจธรรมกำกับไปด้วยจัดเป็นคู่ ๆ ดังนี้

เบญจศีล เบญจธรรม

เว้นจากการฆ่าสัตว์ คู่กับ เมตตากรุณา

เว้นจากการลักทรัพย์ คู่กับ สัมมาอาชีพ

เว้นจากการผิดในกาม คู่กับ กามสังวร

เว้นจากการพูดเท็จ คู่กับ สัจจวาจา

เว้นจากการดื่มสุรา คู่กับ สติสัมปชัญญะ

ความหมายของ เบญจธรรม

เบญจธรรม คือหลักธรรม ๕ ประการอันเป็นคู่ของ เบญจศีล แต่ละข้อมีความหมายดังนี้

. เมตตากรุณา คือปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข และช่วยเหลือเขาให้พ้นทุกข์ การไม่ทำร้ายผู้อื่นนั้นก็นับว่าเป็นคนดีแล้ว แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ต้องเอื้อเฟื้อช่วยเหลือผู้อื่นด้วย สังคมจึงจะสงบร่มเย็นยิ่ง ๆ ขึ้น

. สัมมาอาชีพ คือตั้งใจทำมาหาเลี้ยงโดยสุจริต หมายถึง การหาเลี้ยงชีพในทางที่ชอบ ธรรมข้อนี้คู่กับศีลข้อสองที่ให้ละเว้นจากการถือเอาของที่เขาไม่ให้ คนที่ประกอบอาชีพสุจริต ขยันขันแข็งในการทำมาหากิน ย่อมยินดีกับของที่ตนหาได้เอง ไม่คิดฉกฉวยเอาของผู้อื่น

. กามสังวร คือระมัดระวังในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ทางกามารมณ์ หมายถึง การยินดีเฉพาะในคู่ครองของตนและการไม่คิดหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องความรักความใคร่จนเกินขอบเขต การที่คนเรามีความต้องการทางเพศนั้น มิใช่ของผิดปกติแต่อย่างใด แต่ถ้าเดินสายกลางไว้ ก็จะทำให้เราไม่ไปผิดลูกเมีย ผู้อื่น ธรรมข้อนี้คู่กับศีลข้อสาม

. สัจจวาจา คือรักษาวาจาให้ได้จริง บูชาคำจริง หมายถึง การพูดความจริง เป็นธรรมที่ใช้คู่กับศีลข้อสี่ที่ให้เว้นจากการพูดเท็จ ธรรมข้อนี้เป็นการส่งเสริมให้มนุษย์รู้จักแสดงไมตรีจิต

ต่อกันทางวาจา การพูดความจริงนี้หมายรวมถึงการพูดคำสุภาพ คำอ่อนหวาน และการสื่อสารที่ตรงกับความเป็นจริง ไม่บิดเบือนสื่อ

. สติสัมปชัญญะ คือฝึกตนมิให้ประมาท หมายถึง มีสติรอบคอบรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังทำอะไร พูดอะไร ธรรมข้อนี้คู่กับศีลข้อห้าที่ห้ามมิให้ดื่มสุราเมรัย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามศีลและธรรมข้อที่ห้าอยู่เสมอจะเป็นผู้ที่ไม่ขาดสติ ไม่ประมาท จะทำการสิ่งใดก็จะสำเร็จได้โดยไม่ยาก และโอกาสที่จะเผลอตัวทำผิดด้วยความประมาทก็มีน้อยหรือไม่มีเลย

มนุษยธรรม

มีข้อควรทราบอีกอย่างหนึ่ง คือศีลห้านี้ ความจริงเป็นข้อปฏิบัติต่อกันในระหว่างมนุษย์มาแต่ดึกดำบรรพ์เรียกว่า มนุษยธรรม แปลว่า ธรรมของมนุษย์ หรือธรรมะเครื่องทำผู้ประพฤติให้เป็นมนุษย์

ครั้นเมื่อพระสิทธัตถะตรัสรู้แล้ว ก็ได้ทรงรับรองและส่งเสริมศีลห้านี้ ทรงรับเข้าเป็นคำสอนในศาสนาของพระองค์ ทรงแสดงความหมายหรือเงื่อนไขของแต่ละข้อให้ละเอียดแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น เพื่อปิดกั้นความชั่วที่จะไหลซึมเข้ามาสู่ใจได้สนิท

ในบางแห่ง ท่านเรียกศีลห้าว่า นิจศีล คือเป็นศีลที่ทุกคนควรรักษาเป็นนิจ

ความสัมพันธ์ของศีล กับ สุจริต ทุจริต

คำว่า สุจริต แปลว่า ความประพฤติดี อันความประพฤติที่จะเรียกว่าสุจริตได้นั้น ต้องเป็นความประพฤติดีที่เว้นจากทุจริต จะทำ จะพูด จะคิด อะไรก็ตาม ต้องไม่เข้าลักษณะแห่งทุจริต

ลักษณะแห่งสุจริตแบ่งออกเป็น ๓ อย่าง ดังนี้

. กายสุจริต ความประพฤติดีทางกาย ได้แก่

- ไม่ฆ่าสัตว์

- ไม่ถือเอาของที่เจ้าของไม่ให้

- ไม่ทำผิดในทางประเวณี

. วจีสุจริต ความประพฤติดีทางวาจา ได้แก่

- ไม่กล่าวคำเท็จ

- ไม่กล่าวคำหยาบคาย

- ไม่กล่าวคำส่อเสียด

- ไม่กล่าวคำเพ้อเจ้อ

. มโนสุจริต ความประพฤติดีทางใจ ได้แก่

- ไม่คิดเพ่งเล็งอยากได้ของคนอื่น

- ไม่คิดจองล้างจองผลาญคนอื่น

- เห็นชอบตามทำนองคลองธรรม

ส่วนคำว่า ทุจริต แปลว่า ความประพฤติชั่ว ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามจากสุจริต ๓ ประการ ดังกล่าวข้างต้นนั้น ไม้แก่นเป็นไม้ที่มีราคาสูงสุด ฉันใด คนมีแก่นสุจริต ย่อมเป็นคนทรงคุณค่าสูงเด่นกว่าคนทั้งหลาย ฉันนั้น

เบญจศีลสิกขาบทที่ ๕

สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี เจตนางดเว้น จากการดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

. ความมุ่งหมาย การบัญญัติศีลข้อนี้ เพื่อให้คนรู้จักรักษาสติของตนให้สมบูรณ์

. ข้อห้าม สิกขาบทนี้ ห้ามโดยตรง คือ ห้ามดื่มน้ำเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท คือทำให้สติฟั่นเฟือน น้ำเมาที่ว่านี้ ได้แก่

สุรา คือน้ำเมาที่กลั่นแล้ว ไทยเรียกว่า เหล้า

เมรัย น้ำเมาที่ไม่ได้กลั่น เช่น เหล้าดิบ กระแช่ น้ำตาลเมา เป็นต้น (ฝิ่น กัญชา

ยาเสพติด เฮโรอิน ยาม้า ฯ เป็นต้น ก็นับเข้าในข้อนี้ด้วย )

. หลักวินิจฉัย สุราปานะ (การดื่มสุรา) ที่เป็นเหตุให้ศีลขาดและที่จัดว่าเป็นโทษ เพราะการดื่ม มีข้อวินิจฉัย และโทษแห่งสุรา ดังนี้

ข้อวินิจฉัยว่า ศีล ๕ ข้อที่ ขาดต้องประกอบด้วย

. น้ำที่ดื่มนั้นเป็นน้ำเมา หมายความว่า น้ำที่ดื่มนั้นต้องเป็นน้ำเมา ถ้าคิดจะดื่มสุรา แต่เข้าใจผิด เห็นแก้วน้ำชาเป็นแก้วสุรา จึงคว้าเอามาดื่ม อย่างนี้ศีลไม่ขาด การที่ผู้อื่นปรุงสุราลงไปในอาหารหรือยาแก้โรคเพื่อชูรส หรือให้ยามีประสิทธิภาพดี ผู้กินอาหารหรือรับประทานยานั้นไม่มีเจตนาจะดื่มเหล้า ศีลไม่ขาด

. จิตคิดจะดื่มน้ำเมา หมายความว่าตัวผู้ดื่มนั้นตั้งใจจะดื่มสุราจริง ๆ แล้วดื่มเข้าไป

ศีลจึงขาด

. พยายามดื่มน้ำเมา คือดื่มด้วยตนเอง ตัวเองดื่มเอง ที่ว่าพยายามในที่นี้ หมายเอาการดื่มนั้นเอง อ้าปากขึ้นดูดเอาน้ำเหล้าจากแก้วเข้าปาก แล้วก็กลืนลงคอ อย่างนี้เรียกว่าพยายาม

. น้ำเมานั้นล่วงลำคอลงไป คือกำหนดขีดสมบูรณ์แห่งการกระทำ นั่นคือ ที่ว่าศีลขาด

นั้น ถามว่า ขาดตอนไหน ตอนยกแก้วขึ้น หรือตอนอมสุราเข้าปาก หรือตอนกลืน หรือตอนเมา หรือตอนไหนกันแน่ ตอบว่า ท่านกำหนดเอาตอนน้ำสุราไหลล่วงเข้าลำคอไปเป็นจุดสำคัญ

โปรดทราบด้วยว่า ของเมาที่ห้ามนั้น เฉพาะที่ทำให้ผู้เสพมีสติฟั่นเฟือน เป็นเหตุแห่ง

โรคร้ายแก่ชีวิตซึ่งเรียกว่า เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทต่อความปลอดภัยของชีวิตนั่นเอง

โทษของการดื่มสุรามี ๖ ประการ คือ

- สุราทำให้เสียทรัพย์ เพราะสุราเป็นน้ำเมาเสพติด ผู้ดื่มมักจะเพิ่มปริมาณดื่มขึ้นไปทุกที และใฝ่ฝันที่จะหาเพื่อนฝูงร่วมวงดื่มให้เกิดรส ผู้ติดสุราจึงจำเป็นต้องเสียทรัพย์ในการซื้อดื่มเอง ซื้อเลี้ยงคนอื่นด้วย และนั่นหมายถึงการเชือดเฉือนความสุขจากบุตรภรรยาและสามีของตนมาละลายทิ้งอย่างได้ผลไม่คุ้มค่า

- สุราเป็นเหตุก่อวิวาท ความกล้าเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของคน แต่ความกล้านั้นจะให้เกิดประโยชน์และไม่เป็นภัย ต้องมีคุณธรรม คือสติควบคุมด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นความบ้าบิ่น ทำอะไรแผลง เลยขีดสามัญชน ไม่มีผลดีอันใดเลย สุราที่ตนดื่มเข้าไปแล้วนั้นจะเข้าไปทำลายสติโดยตรง ฉะนั้น คนเมาสุราจึงชอบพูดพล่ามก่อกวน กวนโทสะคนอื่น ลวนลามลามปามได้ทุกคนไม่ว่าลูก ภรรยา หรือสามีใคร ผลที่สุดก็เกิดการทะเลาะวิวาทกันจนถึงฆ่ากันตายก็มี ผลการวิจัยสาเหตุอาชญากรรมของศูนย์การป้องกันอาชญากรรมในประเทศไทย ได้ค้นพบว่าสุราเป็นเหตุใหญ่ยิ่งเหนือเหตุอื่นใดที่ทำให้เกิดคดีฆาตกรรมในประเทศ

- สุรานำโรคมาให้ ข้อนี้ วงการแพทย์ทั้งแผนโบราณทั้งแผนปัจจุบันยืนยันตรงกันว่า สุราเป็นวัตถุที่เป็นอันตรายต่ออวัยวะทางเดินอาหาร ต่อระบบประสาททางเดินของโลหิต ต่อต่อมไม่มีท่อ และต่อระบบการหายใจ

- สุราทำให้เสียชื่อเสียง คนที่สติฟั่นเฟือน ย่อมอาจทำความผิดได้ทุกประตู อาจเสีย ซื่อเสียงได้ทุกกรณี และทุกกาละ สิ่งที่ทำให้สติฟั่นเฟือนนั้นก็คือสุรานั่นเอง

- สุราเป็นเหตุให้ทำเรื่องน่าอดสู วิญญูชนย่อมสงวนศักดิ์รักเกียรติของตนเอง จึงไม่กระทำสิ่งที่น่าอดสูให้คนทั้งหลายดูหมิ่น แต่สุราทำให้คนที่ดื่มจนเมาแล้วลืมเกียรติยศเกียรติศักดิ์อันตนพึงหวงแหนนั้น แสดงกิริยาวาจาอันน่าอดสูได้ทุกอย่าง นอนกลางถนนก็ได้ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะต่อหน้าสาธารณชนก็ได้ เปิดเผยอวัยวะอันพึงปกปิดโดยไม่กระดากอายก็ได้

- สุราบั่นทอนกำลังปัญญา สุราทำลายระบบประสาท ทำลายสติ และทำลายสุขภาพ ดังกล่าวแล้ว จึงมีผลปรากฎว่า คนติดสุรานั้นปัญญาทึบ บางคนต้องคอยดื่มสุรากระตุ้นเตือนไว้จึงใช้ความคิดได้ มิฉะนั้นจะซึมเซา คิดอะไรไม่ปลอดโปร่ง

. เหตุผลอื่น ( เหตุผลของผู้รักษาศีลข้อ ๕ )

สมรรถภาพของคนมี ๒ ทาง คือ ทางกายกับทางจิต ในการใช้สมรรถภาพทางจิตนั้น จิตจำเป็นต้องมีคุณภาพอย่างหนึ่งประกอบความคิดด้วย คือ สติ

ร่างกายนั้นหากชักจิตออกเสียแล้ว ก็หมดความสำคัญ จิตนั้น ถ้าขาดสติ ก็สิ้นความหมาย

สติของคนเรา มิใช่จะเป็นของแตกหักเสียหายง่ายดายนัก หามิได้ อดข้าว ๑ วันสติก็ไม่เสีย ป่วยทั้งปี สติก็ยังดี แต่มีสิ่งหนึ่งในโลกนี้มีพิษร้ายกาจ สามารถฆ่าสติของคนได้ง่ายที่สุด นั่นคือ สุรา

การไม่ดื่มสุรา จึงเป็นการประกันคุณค่าแห่งชีวิตของตนเองได้อย่างดีแท้

เบญจศีลสิกขาบทที่ ๔

มุสาวาทา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ

. ความมุ่งหมาย ศีลข้อนี้ ท่านบัญญัติไว้ เพื่อป้องกันการทำลายประโยชน์ของตนและผู้อื่นด้วยการพูดเท็จ และให้รู้จักฝึกอบรมจิตใจให้เป็นคนมั่นคงในความดี

เมื่อเพ่งความมุ่งหมายดังกล่าวแล้ว พึงทราบว่าในสิกขาบทนี้ท่านห้ามดังต่อไปนี้

. มุสา แปลว่า เท็จ ได้แก่โกหก ส่วนมาก เราเข้าใจกันว่า การกล่าวคำโกหก คือการใช้ปากกล่าว แต่ในทางศีล ท่านหมายถึงการทำเท็จทุกอย่าง จะทำเท็จด้วยการกล่าว หรือทำเท็จด้วยการไม่กล่าว ก็เป็นการเท็จได้ทั้งนั้น เมื่อแยกวิธีและวิธีทำมุสาวาท แล้วจะมีลักษณะดังนี้

วิธีทำเท็จ มี ทาง คือ

ทางวาจา คือ กล่าวออกมาเป็นคำเท็จ ตรงกับคำว่า โกหกชัด ๆ ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว

ทางกาย คือทำเท็จด้วยร่างกาย เช่นเขียนจดหมายโกหก รายงานเท็จ ทำหลักฐานปลอม ตีพิมพ์ข่าวเท็จเผยแพร่ ทำเครื่องหมายให้คนอื่นหลงเชื่อ ตลอดจนการทำใบ้ให้คนอื่นเข้าใจผิด เช่นสั่นศีรษะในเรื่องควรรับ หรือพยักหน้าในเรื่องควรปฏิเสธ

วิธีแห่งมุสาวาท มุสาวาทนั้นมี ๗ วิธีคือ

- ปด ได้แก่การโกหกชัด ๆ ไม่รู้ก็ว่ารู้ ไม่เห็นก็ว่าเห็น ไม่มีก็ว่ามี หรือรู้ก็ว่าไม่รู้ เห็นก็ว่าไม่เห็น มีก็ว่าไม่มี อย่างนี้เรียกว่า ปด

- ทนสาบาน คือทนสาบานตัว เพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อ การสาบานนั้นอาจมีการสาปแช่งด้วยหรือไม่ก็ตาม ชั้นที่สุดคนที่อยู่ด้วยกันมาก ๆ เช่น นักเรียนทั้งชั้น เมื่อมีผู้หนึ่งทำความผิดแต่ จับตัวไม่ได้ ครูจึงเรียกประชุม แล้วก็ถามในที่ประชุมและสั่งว่า ใครเป็นคนทำผิดให้ยืนขึ้น นักเรียน คนทำผิดไม่ยอมยืน นั่งเฉยอยู่เหมือนกับคนที่เขาไม่ได้ทำผิด ทำอย่างนี้ก็เป็นการมุสาด้วยการทนสาบาน

- ทำเล่ห์กระเท่ห์ ได้แก่การอวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์เกินความจริง เช่นอวดรู้วิชาคงกะพัน ว่าฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก อวดวิชาเล่ห์ยาแฝดว่าทำให้คนรักคนหลง อวดความแม่นยำทำนายโชคชะตา อวดวิเศษใบ้หวยบอกเบอร์

- มายา คือแสดงอาการหลอกคนอื่น เช่นเจ็บน้อยทำทีเป็นเจ็บมาก หรืออย่างข้าราชการบางคนต้องการจะลาพักงาน และถ้าลาตรง ๆ เกรงผู้บังคับบัญชาจะไม่เห็นใจ จึงแกล้งทำหน้าตาท่าทางว่าป่วย ใช้มือกุมขมับ แสดงว่าปวดศีรษะ กุมท้อง แสดงว่าปวดท้อง

- ทำเลศ คือใจอยากจะกล่าวเท็จ แต่ทำเป็นเล่นสำนวน กล่าวคลุมเครือให้ผู้ฟัง คิดผิดไปเอง

- เสริมความ คือเรื่องจริงมี แต่มีน้อย คนกล่าวอยากให้คนฟังเป็นเรื่องใหญ่ จึงกล่าวพร้อมประกอบกิริยาท่าทางให้เห็นเป็นเรื่องใหญ่โต เช่นเห็นไฟไหม้เศษกระดาษนิดเดียว ก็ตะโกนลั่นว่า ไฟไหม้ ๆคิดจะให้คนฟังเข้าใจว่าไฟไหม้บ้านเรือน หรือคนโฆษณาขายสินค้า พรรณนาสรรพคุณเกินความจริง ก็นับเข้าในเจตนาเสริมความนี้

- อำความ การอำความนี้ ตรงข้ามจากเสริมความ เสริมความ คือทำเรื่องเล็กให้ใหญ่ ส่วนอำความ คือทำเรื่องใหญ่ให้เล็ก

.อนุโลมมุสา อนุโลมมุสา คือเรื่องที่กล่าวนั้นไม่จริง แต่ผู้กล่าวก็มิได้มุ่งจะให้

ผู้ฟังหลงเชื่อ เช่นคนกล่าวประชดคนทำอะไรช้า ๆ ว่า คนนั้นเขาทำมาตั้งปีแล้ว คนที่ถูกเขาว่านั้นความจริงไม่ได้ช้าถึงปี และคนที่กล่าวก็ไม่ประสงค์จะให้คนนั้นหลงเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น แต่มุ่งจะว่า กล่าวให้เจ็บใจ อย่างนี้เรียกว่าทำประชด เป็นอนุโลมมุสา

.ปฏิสสวะ ปฏิสสว ได้แก่การรับคำของคนอื่นด้วยเจตนาบริสุทธิ์ แต่ภายหลัง เกิดกลับใจ ไม่ทำตามที่รับนั้น โดยที่ตนยังพอจะทำตามคำที่รับมาได้อยู่

การกระทำในข้อ ๑. ทำให้ศีลขาด ส่วนข้อ ๑.๒ และข้อ ๑.๓ ทำให้ศีลด่างพร้อย

หมายเหตุ (ข้อยกเว้น) มีคำกล่าวอีกประเภทหนึ่ง ผู้กล่าว กล่าวไม่จริง แต่ก็ไม่ประสงค์จะให้ผู้ฟังเชื่อ ซึ่งเรียกว่า ยถาสัญญา คือกล่าวตามความสำคัญ ผู้กล่าวไม่ผิดศีล คือ

.โวหาร ได้แก่ถ้อยคำที่ใช้เป็นธรรมเนียมเพื่อความไพเราะของภาษา เช่น เราเขียนจดหมาย ลงท้ายว่า ด้วยความนับถืออย่างยิ่งนี่เราเขียนตามธรรมเนียมของจดหมาย ความจริงเราไม่ได้นับถืออย่างยิ่ง หรืออาจไม่นับถือเขาเลยก็ได้

. นิยาย เช่นคนผูกนิทานขึ้นมาเล่า หรือแต่งเรื่องลิเกละคร เขาบอกผู้ดูว่าเขาเป็นอย่างนั้น เขาเป็นอย่างนี้ ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่ก็ไม่ผิดศีล เพราะเขาไม่ตั้งใจจะให้คนฟังหลงเชื่อ เพียงแต่แสดงไปตามเรื่อง

. สำคัญผิด คือผู้กล่าวเข้าใจอย่างนั้น กล่าวไปตามความเข้าใจของตน เช่น เราจำชื่อหรือที่ตั้งวัดผิด เมื่อมีใครถาม เราก็ตอบไปตามที่จำได้ ก็เป็นอันไม่ผิดศีล

. พลั้ง คือ กล่าวพลั้งไป ไม่มีเจตนา

เป็นอันว่า คำกล่าวประเภท โวหาร นิยาย สำคัญผิด พลั้ง เป็นข้อยกเว้น ผู้กล่าวไม่ผิดศีล

. ข้อห้าม ศีลข้อนี้ ห้ามการปฏิบัติทั้ง ๓ ประการนั้น (ห้ามข้อ ๑., .๒ และ ๑.)

. หลักวินิจฉัย การปฏิบัติที่จะเรียกว่าเป็นมุสาวาท (ศีลข้อที่ ๔ ขาด ) จะต้องประกอบ ด้วยองค์ ๔ คือ

. เรื่องไม่จริง ที่ว่าจริงหรือไม่จริง คือ เรื่องที่พูดนั้นไม่มีจริง ไม่เป็นจริง เช่น ฝนไม่ตกเลย แต่บอกว่าฝนตก อย่างนี้เรียกว่า เรื่องไม่จริง

. จิตคิดจะกล่าวให้ผิด คือ มีเจตนาจะกล่าวบิดเบือนความจริงเสีย ถ้ากล่าวโดยไม่เจตนาจะกล่าวให้ผิด ศีลไม่ขาด

. พยายามกล่าวออกไป คือได้กระทำการเท็จด้วยเจตนานั้น ไม่ใช่เพียงแต่คิดเฉย ๆ

. คนฟังเข้าใจเนื้อความนั้น ส่วนที่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่นั้น ไม่ถือเป็นสำคัญ

. เหตุผลอื่น (เหตุผลของผู้รักษาศีลข้อ ๔)

ระหว่างคนทั้งสอง คือ คนกล่าวคำโกหก กับคนฟังคำโกหก ผู้กล่าวคำโกหกเป็นผู้เสียหายร้ายแรงกว่า เพราะการโกหกแต่ละครั้ง สัจธาตุในจิตของเขาถูกทำลายลงไป เขาจะกลายเป็นคนเหลาะแหละและเหลวแหลกในที่สุด ฝ่ายคนฟังคำโกหกจะถูกทำลายเพียงความรู้สึกบางอย่างของจิตเท่านั้น

คนคิดทำลายผู้อื่นด้วยการกล่าวคำโกหก ก็ไม่ผิดอะไรกับคนที่กรีดเลือดของตนออกเขียนด่าคนอื่น เขาเป็นคนไร้สัจธาตุ เป็นโมฆบุรุษ สติปัญญาหากมีและทำให้กล่าวหรือแสดงคำโกหกได้คล่อง สติปัญญาที่มีนั้นก็มีเพื่อพิฆาตฆ่าตัวเขาผู้เป็นคนพาลเอง ดุจปลีกล้วยฆ่าต้นกล้วย ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ลูกม้าอัสดร เกิดมาเพื่อฆ่ามารดาตน จะยกแผ่นดิน และหรือแผ่นฟ้าทุกจักรวาลให้ ก็หาหยุดยั้งหรือสนองความเป็นคนพาล ความเป็นคนเปล่าประโยชน์ของเขาได้ไม่

เบญจศีลสิกขาบทที่ ๓

กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

. ความมุ่งหมาย จุดหมายสำคัญของศีลข้อนี้ อยู่ที่การสร้างความเป็นปึกแผ่น ปลูกสามัคคี และป้องกันการแตกร้าวในหมู่มนุษย์

. ข้อห้าม สิกขาบทนี้ห้าม (ทั้งหญิงทั้งชาย) ไม่ให้ประพฤติผิดประเวณี

. หลักวินิจฉัย การกระทำที่เรียกว่า กาเมสุมิจฉาจาร เป็นการผิดประเวณี ประพฤติแล้วที่ทำให้ศีลข้อนี้ขาดนั้น ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ

. หญิง (หรือชาย) นั้นเป็นบุคคลต้องห้าม กล่าวโดยย่อ บุคคลต้องห้าม คือบุคคลผู้ที่ใคร ๆ จะสมสู่ด้วยไม่ได้ มีอยู่ ๒ ประเภท คือ หญิงต้องห้าม กับชายต้องห้าม

หญิงต้องห้าม หญิงต้องห้าม มี ๓ จำพวก คือ

- หญิงมีสามี (สสฺสามิกา) หมายถึงหญิงที่อยู่กินกับชายอื่นในฐานะภรรยาและสามี ทั้งนี้ ไม่ว่าเขาจะได้ทำพิธีแต่งงานกันหรือไม่ก็ตาม และจะได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายหรือไม่ ไม่ถือเป็นประมาณ ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าเขาได้อยู่กินเป็นสามีภรรยากันโดยเปิดเผยเท่านั้น

หญิงประเภทนี้ จะหมดภาวะที่เป็นหญิงต้องห้ามก็ต่อเมื่อสามีตายแล้ว หรือได้บอกหย่าขาดจากสามีแล้ว หญิงที่สามีถูกกักขัง เช่นจำคุก ถ้าไม่ได้หย่าขาดจากกัน ก็คงถือว่าหญิงนั้นยังมีสามีอยู่ แม้สามีจะต้องจองจำตลอดชีวิต ตนก็ยังอยู่ในฐานะหญิงต้องห้ามจนกว่าสามีจะสิ้นชีวิต ชายใดสมสู่ด้วย จึงผิดศีล และเมื่อเพ่งถึงการทำลายความไว้วางใจกัน นอกจากการร่วมสังวาสแล้ว ผู้รักษาศีลพึงเว้นแม้การผูกสมัครรักใคร่ฐานชู้สาว การเกี้ยวพาราสี พูดเคาะ หรือแม้แต่เล่นหูเล่นตากับภรรยาผู้อื่นในเชิงชู้สาว

- หญิงมีญาติปกครอง (ญาติรกฺขิตา) คือหญิงสาวที่ไม่เป็นอิสระแก่ตน แต่อยู่ในการปกครอง

ดูแลของ พ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา หรือผู้อุปการะ ซึ่งนับว่าเป็นผู้ใหญ่ของเขา หญิงประเภทนี้ ถ้าชายใดอยากได้เป็นภรรยา ก็ต้องติดต่อสู่ขอจากผู้ใหญ่ให้ชอบด้วยประเพณี จักได้เป็นศรีแก่ตนและวงศ์สกุล ชายใด ลักลอบสมสู่หรือฉุดคร่า ลักพาเอาไป เป็นผิดศีล การผิดศีลในข้อนี้ เกิดจากการขืน น้ำใจท่าน ทำให้ผู้มีพระคุณต้องช้ำใจ ผิดทั้งหญิงและชาย

หญิงที่ผู้ใหญ่รับของหมั้นจากชายแล้ว ตกลงว่าจะให้แต่งงานด้วย นับแต่รับของหมั้นแล้ว หญิงนั้นย่อมเป็นสิทธิของคู่หมั้น จนกว่าจะได้คืนของหมั้น หรือบอกเลิกการหมั้นเสีย

- หญิงมีจารีตรักษา (จาริตา ธมฺมรกฺขิตา) หมายถึง หญิงที่ศีลธรรม กฎหมาย หรือจารีตนิยมคุ้มครองรักษา ห้ามการสมสู่ มี ประเภทคือ

หญิงผู้เป็นเทือกเถาเหล่ากอของตน ประเภทแรกนี้ ได้แก่หญิงที่เป็นเทือกเถาเหล่ากอของตนเอง เทือกเถา คือ ญาติผู้ใหญ่ นับย้อนขึ้นไปทางบรรพบุรุษ ๓ ชั้น เหล่ากอ หมายถึง ผู้สืบสันดานจากตน นับลงไป ๓ ชั้นเหมือนกัน

ชายใดสมสู่กับหญิงที่เป็นเถือกเถาเหล่ากอของตน เป็นบาป ผิดศีล ฝ่ายหญิงควรพึงทราบโดยนัยตรงกันข้าม

หญิงมีข้อห้าม คือหญิงบำเพ็ญพรหมจรรย์ เช่น ภิกษุณี และสามเณรีในสมัยก่อน หรืออุบาสิการักษาอุโบสถในสมัยนี้ นอกจากห้ามโดยข้อปฏิบัติแล้ว ยังมีหญิงบางประเภทที่พระราชาห้ามโดยข้อบทกฎหมายอีก

นอกจากหญิงที่มีข้อห้ามโดยตรงแล้ว ยังมีหญิงต้องห้ามโดยจารีตประเพณี และห้ามโดยการกระทำอันไม่สมควรแก่กาละ เทศะ เช่น หญิงที่เป็นเด็กทารก หรือผู้เจ็บไข้ไม่สมประกอบ การกระทำข่มขืนโดยพลการ และในสถานที่อันไม่บังควร เช่น ในโบสถ์ วิหาร เป็นต้น เป็นการเหยียบย่ำทำลายจารีตประเพณีด้วยการประพฤติเสพกามเช่นนี้ ย่อมเป็นการละเมิดศีลข้อนี้โดยตรงบ้าง โดยอ้อมบ้าง ไม่พึงประพฤติเป็นอย่างยิ่ง

ชายต้องห้าม ชายต้องห้าม คือชายที่หญิงสมสู่ไม่ได้ ท่านแสดงไว้เพียง ๒ จำพวก คือ

ชายอื่นนอกจากสามีตน (สำหรับหญิงมีสามี) ข้อนี้สำหรับหญิงที่มีสามีแล้ว และยังอยู่กินกับสามี ให้ถือว่า ผู้ชายนอกจากสามีตน เป็นชายต้องห้าม

ชายที่จารีตห้าม (สำหรับหญิงทั่วไป) หญิงทั่วไป คือ ทั้งที่มีสามีและไม่มีสามี พึงถือว่า ชายที่มีจารีตห้าม เช่นนักบวชในศาสนาที่ห้ามเสพเมถุน เป็นชายต้องห้าม มิให้ยินยอมพร้อมใจในการร่วมสังวาส ถ้าเป็นใจด้วยถือว่า ผิดศีล

. มีเจตนาจะเสพกาม

. ประกอบกามกิจ

. อวัยวะเครื่องเสพกามถึงกัน

. เหตุผลอื่น (เหตุผลของผู้รักษาศีลข้อ ๓)

ในบรรดาภพที่เกิดของสัตว์ มีอยู่ภพหนึ่ง เรียกว่า กามภพ สัตว์โลกที่อยู่ในกามภพ พากันเสพกาม ติดอยู่ในกาม แต่ก็แบ่งออกเป็น ๓ พวก หรือ ๓ ชั้น คือ

พวกชั้นต่ำ มีกามเป็นใหญ่ คือพวกตกเป็นทาสของอารมณ์ ประพฤติตามความใคร่ ไม่มีข้อใดที่จะต้องสังวรในเรื่องนี้ ได้แก่จำพวกสัตว์ที่ต่ำกว่ามนุษย์ลงไป ซึ่งไม่มีความอาย ไม่มีข้อควรเว้น

พวกชั้นกลาง สังวรในกาม คือ รู้จักสังวรในกาม มีการควบคุมจิต แม้จะมีความใคร่ในกาม ก็ยังรู้จักเว้นสิ่งที่ควรเว้น ไม่ปล่อยไปตามอารมณ์ ได้แก่พวกมนุษย์ชั้นสามัญ

พวกชั้นสูง เว้นจากกาม ได้แก่พวกประพฤติพรหมจรรย์ งดเว้นการเสพกาม

ความผิดในกามนั้น อาจเกิดขึ้นในพวกชั้นกลางกับชั้นสูงเท่านั้น ส่วนพวกชั้นต่ำ คือ พวกเดรัจฉาน ไม่มีข้อใดที่ถือเป็นความผิดในกาม เพราะต่ำที่สุดอยู่แล้ว พวกชั้นกลางนั้น จะผิดในกามก็ต่อเมื่อไปประพฤติอย่างพวกชั้นต่ำเข้า คือกระทำโดยไม่เว้นกาละ เทศะ และบุคคลอันตนจะพึงเว้น

ทางสังคม คนรักกัน อาจเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่กันได้ ให้เงินให้ทอง ให้ข้าว ให้ของแก่กันได้ เสื้อผ้าอาภรณ์ แม้จะหยิบยืมกันใช้ ก็ยืมได้ทุกอย่าง ยืมไม่ทัน จะถือวิสาสะฐานะคนรักกันก็ยังได้ เว้นอย่างเดียว คือการล่วงเกินในภรรยาเพื่อน กับเพื่อน ซึ่งทำให้ไม่อาจรักกันต่อไปได้ พี่กับน้องก็ไม่อาจรักกันต่อไปได้ ผู้ใหญ่กับผู้น้อยก็ไม่อาจรักกันต่อไปได้ ตกลงว่า การนอกใจ การทำชู้ ถือว่าเป็นศัตรูโดยตรงกับความไว้วางใจกัน

P16-17 เบญจศีลสิกขาบทที่ ๒

เบญจศีลสิกขาบทที่

อทินฺนาทานา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์

. ความมุ่งหมาย ท่านบัญญัติศีลข้อนี้ไว้เพื่อให้ทุกคนงดเว้นจากการทำมาหากินในทางทุจริต ให้ประกอบอาชีพในทางสุจริต และเคารพในกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น

. ข้อห้าม ในสิกขาบทนี้ ข้อห้ามโดยตรง คือห้ามกระทำโจรกรรม แต่ผู้รักษาศีลพึงเว้นจากการกระทำอันเป็นบริวารของโจรกรรมด้วย คือ

.๑ โจรกรรม การกระทำที่เป็นโจรกรรมมี ๑๔ อย่าง คือ

- ลัก คือขโมยเอาทรัพย์เมื่อเจ้าของไม่เห็น

- ฉก คือชิงเอาทรัพย์ต่อหน้าเจ้าของ

- กรรโชก คือทำให้เขากลัวแล้วให้เขาให้ทรัพย์หรือยกเว้นให้ไม่ต้องเสียทรัพย์

- ปล้น คือร่วมหัวกันหลายคน มีศัสตราวุธเข้าปล้นทรัพย์

- ตู่ คืออ้างหลักฐานพยานเท็จ หักล้างกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น

- ฉ้อ คือโกงทรัพย์ของผู้อื่น

- หลอก คือปั้นเรื่องให้เขาเชื่อแล้วให้เขาให้ทรัพย์

- ลวง คือใช้เล่ห์เอาทรัพย์ด้วยเครื่องมือลวง

- ปลอม คือทำหรือใช้ของปลอม

- ตระบัด คือยืมของคนอื่นมาใช้แล้วยึดเอาเสีย

- เบียดบัง คือกินเศษกินเลย

- สับเปลี่ยน คือแอบสลับเอาของผู้อื่นซึ่งมีค่ากว่า

- ลักลอบ คือหลบหนีภาษีของหลวง

- ยักยอก คือใช้อำนาจหน้าที่อันมีอยู่ ถือเอาทรัพย์โดยไม่สุจริต

.๒ อนุโลมโจรกรรม การกระทำอันเป็นอนุโลมโจรกรรม มี ๓ อย่าง คือ:-

- สมโจร คือสนับสนุนโจร

- ปอกลอก คือคบเขาเพื่อปอกลอกเอาทรัพย์

- รับสินบน คือรับสินจ้างเพื่อกระทำผิดหน้าที่ การรับสินบนนี้ หากผู้รับมีเจตนาร่วมกับผู้ให้ในการทำลายกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น ก็เป็นการร่วมทำโจรกรรมโดยตรงศีลย่อมขาด

.๓ ฉายาโจรกรรม การกระทำเป็นฉายาโจรกรรมมี ๒ อย่าง คือ

- ผลาญ คือทำลายทรัพย์ผู้อื่น (ไม่ถือเอาเป็นของตน)

- หยิบฉวย คือถือวิสาสะเกินขอบเขต

ทั้งนี้ ถ้ามีเจตนาในทางทำลายกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นรวมอยู่ด้วย ก็ไม่พ้นเป็นโจรกรรม ศีลย่อมขาด

หมายเหตุ : เฉพาะอนุโลมโจรกรรม กับฉายาโจรกรรมนั้น ต้องพิจารณาถึงเจตนาของผู้ทำอีกด้วย ถ้าเจตนาทำลายกรรมสิทธิ์ ศีลก็ขาด ถ้าเจตนาไม่แน่ชัด ศีลก็เพียงด่างพร้อย

. หลักวินิจฉัย การกระทำโจรกรรม ที่ถึงขั้นศีลขาด ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ

.๑ ของนั้นมีเจ้าของ

.๒ ตนรู้ว่าของนั้นมีเจ้าของ

.๓ จิตคิดจะลัก

.๔ พยายามลัก

.๕ ได้ของนั้นมาด้วยความพยายามนั้น

. เหตุผลอื่น (เหตุผลของผู้รักษาศีลข้อที่ ๒)

สัตว์ทุกชนิดย่อมมีปากมีท้อง และมีภาระในการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยกันทั้งนั้น ทั้งไก่ สุนัข ลิง แมว และสารพัดสัตว์รวมทั้งคนด้วย แต่ธรรมชาติได้สร้างอวัยวะไว้ให้เป็นเครื่องมือหากิน พอเหมาะพอสมควรกับตัว สามารถหากินอิ่มท้องได้ภายในตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก และยังเหลือเวลาพักผ่อนอีกด้วย คนเราก็เป็นสัตว์โลกชนิดหนึ่ง มีปาก มีท้อง และมีอวัยวะหากินเหมือนกัน และยังมีสมองและปัญญามากกว่าสัตว์ สามารถทำมาหากินได้จนพอที่จะเผื่อแผ่คนอื่นได้อีกด้วย คนที่ลักขโมยฉ้อโกงเขากิน จึงเป็นคนทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเอง คนที่ใช้ความรู้โกงทรัพย์ คนอื่นนั้น ไม่ใช่ความดีวิเศษอะไร เพราะการโกงทรัพย์คนอื่นนั้นแม้แต่ไก่ก็โกงกันกินได้

ร้ายยิ่งไปกว่านั้น การลักขโมยฉ้อโกงเอาทรัพย์ผู้อื่นนั้น เราเองได้ทรัพย์ภายนอกมา แต่ต้องเสียทรัพย์ภายใน คือศีลธรรมและเกียรติยศของตนเอง ซึ่งเทียบราคากันไม่ได้เลย

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

p14-16 หลักการรักษาศีล,เบญจศีลสิกขาบทที่ ๑

หลักการรักษาศีล
เรื่องการศึกษาศีลแต่ละสิกขาบทนี้ เราต้องหาความรู้ และความเข้าใจใน ๔ จุดโดยรวม คือ
๑. ความมุ่งหมาย
๒. ข้อห้าม
๓. หลักวินิจฉัยโทษ
๔. เหตุผลอื่น
เบญจศีลสิกขาบทที่ ๑
ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์
๑. ความมุ่งหมาย ท่านบัญญัติศีลข้อนี้ไว้ โดยมุ่งให้มนุษย์อบรมจิตของตนให้คลายความเหี้ยมโหด มีเมตตากรุณาต่อกันและกัน เผื่อแผ่แก่สัตว์ทั้งปวงด้วย
๒. ข้อห้าม ในสิกขาบทนี้ ห้ามการฆ่าโดยตรง แต่ผู้รักษาศีล พึงเว้นจากการกระทำอันเป็นบริวารของการฆ่าด้วย คือ
๒.๑ การฆ่า (ทำให้ศีลขาด)
- กิริยาที่ฆ่า หมายถึง การทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป คำว่า สัตว์ หมายเอามนุษย์และเดียรัจฉานทุกชนิด ชั้นที่สุดแม้สัตว์ในครรภ์
- บาปกรรม การฆ่าสัตว์ทุกชนิดทำให้ศีลขาดทั้งนั้น แต่ทางบาปกรรมย่อม ลดหลั่นกัน
- หลักวินิจฉัย ท่านวางหลักวินิจฉัยบาปกรรมไว้ ๓ อย่าง คือ
๑. วัตถุ หมายถึง สัตว์ที่ถูกฆ่า ในทางวัตถุนี้ ฆ่าคนบาปมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน แม้ในการฆ่าคนนั้นยังมีลดหลั่น นับตั้งแต่ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าคนมีคุณ ฆ่าคนทั่วไป ฆ่าคน ที่เป็นภัยแก่คนอื่น บาปกรรมก็ลดหลั่นกันไปตามลำดับ แม้ฆ่าสัตว์เดรัจฉาน ก็พิจารณาตามเกณฑ์อย่างเดียวกันนี้ คือ ฆ่าสัตว์มีคุณ บาปมากกว่าสัตว์ทั่วไป
๒. เจตนา หมายถึง เจตนาของผู้ฆ่า ในทางเจตนานี้ การฆ่าด้วยความอำมหิต เช่นรับจ้างฆ่าคน หรือฆ่าด้วยความอาฆาตพยาบาทอันร้ายกาจ ฆ่าด้วยอำนาจโมหะ เช่น ยิงสัตว์เล่นเพราะเห็นแก่สนุก เหล่านี้ บาปจะมีมากน้อยลดหลั่นกัน ส่วนการฆ่าด้วยจิตที่มีเมตตาผสมอยู่ เช่น แพทย์ทดลองวิชาเพื่อหาวิธีรักษาคนอื่นสัตว์อื่น หรือฆ่าเพื่อป้องกันตัว และทำให้เขาตายโดยพลาดพลั้ง บาปกรรมก็เบาบางลงตามลำดับ
๓. ประโยค หมายถึง วิธีการฆ่า ในทางประโยค คือวิธีฆ่านี้ ถ้าฆ่าโดยวิธีทรมานให้ลำบากมาก หวาดเสียวมาก ช้ำใจมาก ก็บาปมาก
การฆ่านี้ ทางศาสนาห้ามรวมถึงการฆ่าตัวเองด้วย ถือว่าเป็นการกระทำอันน่าตำหนิ และจิตใจของผู้ฆ่าตัวเองก็ไม่พ้นความมัวหมอง
๒.๒ การทำร้ายร่างกาย (ทำให้ศีลด่างพร้อย)
การทำร้ายร่างกาย หมายถึงการทำให้ร่างกายเขาเสียรูป เสียงาม เจ็บป่วยหรือพิการ(แต่ไม่ถึงตาย) จะด้วยการยิง ฟัน ทุบ ตีก็ตาม ซึ่งกระทำโดยเจตนาร้ายต่อผู้นั้น ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ
๒.๓ การทรกรรม (ทำให้ศีลด่างพร้อย)
การทรกรรม คือการทำให้สัตว์ได้รับความลำบาก โดยขาดเมตตาปรานี มีลักษณะดังนี้
๑. ใช้งานเกินกำลัง ไม่ให้ได้รับการพักผ่อนและการเลี้ยงดูตามควร
๒. กักขังในที่อันไม่อาจเปลี่ยนอิริยาบถได้ และเป็นอันตราย
๓. นำสัตว์ไปโดยวิธีอันทรมานยิ่งนัก
๔. ผจญสัตว์ เช่น ยั่วสัตว์ให้ทำลายกัน เพราะเห็นแก่ความสนุกของตน
๓. หลักวินิจฉัย ( หรือองค์ของศีล ) การฆ่าถึงขั้นศีลขาด ต้องประกอบด้วยองค์ ๕ คือ
๓.๑ สัตว์นั้นมีชีวิต
๓.๒ ผู้ฆ่ารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓.๓ ผู้ฆ่าคิดจะฆ่า
๓.๔ พยายามฆ่า
๓.๕ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น


๔. เหตุผลอื่น (เหตุผลของผู้รักษาศีลข้อ ๑)
ชีวิตเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มนุษย์และสัตว์มีอยู่ และสิ่งที่มนุษย์และสัตว์ทุกรูป ทุกนามหวงแหนที่สุดก็คือชีวิตของตน ดังนั้น การกระทำผิดต่อสัตว์ ไม่มีสิ่งใดร้ายแรงยิ่งกว่าการทำลายชีวิตของเขาเพียงแต่เรางดฆ่าสัตว์เสียอย่างเดียว ก็ชื่อว่าเป็นการให้ความปลอดภัยแก่ชีวิต สัตว์ทั้งโลกและให้ความปลอดภัยแก่บรรดาบุตรหลานและบริวารของสัตว์นั้นด้วย
การประพฤติตนเป็นคนโหดร้าย ละเมิดศีลข้อนี้ ชื่อว่าเป็นการทำลายมนุษยธรรมในตัวเราเอง ทั้งเป็นการทำลายสังคมและประเทศชาติของเราด้วย

p11-14 ศีลวัตร

ศีลวัตร
บางทีอาจจะสงสัยกันว่า ที่ว่า การรักษาศีล เป็นการรักษาปรกติ อยู่ในปรกติเดิม แต่เหตุไฉนศีล ๘ ศีล ๑๐ จึงห้ามในสิ่งที่เป็นปรกติอยู่แล้ว เช่น ห้ามเสพเมถุน และห้ามรับประทานอาหารเย็น เพราะปรกติของมนุษย์ต้องเสพกาม และต้องกินอาหาร จะไม่ค้านกับที่อธิบายมาแล้วหรือ ?
ขอชี้แจงว่า ศีล ที่แปลว่ารักษาปรกติ นั้น มุ่งถึงศีล ๕ โดยตรงเท่านั้น ส่วนศีลชั้นสูง สูงกว่าศีล ๕ ขึ้นไป มีลักษณะและความมุ่งหมายต่างจากศีลห้า เข้าลักษณะเป็น “วัตร” นักศึกษาคงจะเคยได้ยินคำว่า “ศีลวัตร” หรือ “ศีลพรต” หรือคำว่า “บำเพ็ญพรต” คำว่า พรต กับคำว่า วัตร เป็นคำเดียวกัน หมายถึงข้อปฏิบัติเพื่อฝึกฝนตนเอง ให้สามารถถอนใจออกจากกามารมณ์ได้ทีละน้อย ๆ เป็นทางนำไปสู่การละกิเลสได้เด็ดขาดต่อไป ข้อปฏิบัติในขั้นวัตร เป็นการฝืนปรกติของคนนั้นถูกแล้ว ยิ่งวัตรชั้นสูง ชั้นพระภิกษุ ยิ่งฝืนปรกติเอามากทีเดียว
ผลการรักษาศีล
ผลของการรักษาศีล เราจะแยกพิจารณาเป็น ๓ ลักษณะคือ
๑. ผลทางส่วนตัว การรักษาศีล มีความมุ่งหมายปรากฏชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นการเว้น จากการกระทำที่ไม่ดี ทั้งนี้ หมายความว่า การรักษาศีล เป็นการป้องกันตัวเราไว้ไม่ให้เสื่อมเสียลงไป ข้อนี้เป็นเหตุผลตรงตัว เมื่อท่านศึกษารายละเอียดของศีลแต่ละข้อแล้ว ยิ่งจะเห็นได้ชัดว่า การรักษาศีล เป็นการป้องกันตัวมิให้เสื่อมเสียอย่างดียิ่ง เป็นการรักษาพื้นฐานของชีวิตเพื่อความเจริญแก่ส่วนตน โดยเฉพาะ และมีผลต่อสังคมโดยรวมอีกต่างหาก ซึ่งในที่นี้จะได้แสดงถึงพื้น(ฐาน) ของคนและส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องต่อไปดังนี้
พื้นของคน
การรักษาศีล เป็นการปรับพื้นตัวของผู้รักษาศีลนั้นเองให้เป็นคนมีพื้นดี เหมาะที่จะสร้างความดีความเจริญแก่คนส่วนรวมต่อไป
พื้น เป็นสิ่งสำคัญมาก แต่คนไม่ค่อยสนใจ การจะทำอะไรทุกอย่าง ต้องพิจารณาถึง พื้นเดิมของสิ่งนั้นก่อน ต้องทำพื้นให้ดี สิ่งที่ทำนั้นจึงจะเด่นดีขึ้น อย่างเวลาเขียนรูป ก่อนที่จะวาดรูป ลงไป ผู้เขียนต้องลงสีพื้นก่อน จะให้พื้นเป็นสีอะไร ต้องเลือกให้เหมาะ ๆ แล้วก็ลงสีพื้น ถ้าพื้นไม่เด่น รูปก็ไม่เด่น ถึงการเขียนหนังสือก็เหมือนกัน ต้องใช้พื้นกระดาษที่เขียนได้สะอาดเรียบร้อยจึงจะดี ถึงคน ผู้มีลายมือดี ถ้าเขียนลงบนพื้นเลอะเทอะเปรอะเปื้อน คุณค่าของหนังสือก็ดีไม่ถึงขนาด ถนนลาดยาง หรือถนนคอนกรีตที่เราสัญจรไปมาอยู่นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำ นายช่างต้องลงพื้นให้ดีเสียก่อน ถ้าพื้นไม่ดี ถ้าทำกันสักแต่ว่าสุกเอาเผากิน ไม่ช้าก็ทรุด ตึกรามใหญ่ ๆ โต ๆ ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปก็เหมือนกัน พื้นนั้นสำคัญมาก ต้องตอกเสาเข็มลงรากให้แข็งแรง ไม่เช่นนั้นจะทรุด และถ้าลงได้ทรุดแล้ว จะซ่อมยากลำบากลำบนจริง ๆ ให้ฝาหรือหลังคารั่วเสียอีก ดูเหมือนจะดีกว่าพื้นทรุด เพราะซ่อมง่ายกว่า ลงทุนน้อยกว่า
คนเราก็มีลักษณะเหมือนถนนหนทาง หรืออาคารบ้านเรือน ดังกล่าวแล้ว ถ้าพื้นดี ก็ดี ถ้าพื้นเสีย ก็เสียหาย คนพื้นดี ทำอะไรก็ดีขึ้น ไม่ว่าจะเล่าเรียน หรือเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เป็นพ่อค้า ชาวนา ชาวสวน จนกระทั่งบวชเป็นพระสงฆ์ ก็มีความเจริญก้าวหน้า ที่เรียกว่าทำขึ้น ถ้าได้พื้นดีแล้ว จะดีจริง ๆ จึงกล่าวได้ว่าโชคลาภในชีวิตอะไร ๆ ก็ดูจะสู้เป็นคนที่มีพื้นดีไม่ได้ และถ้าว่าข้างอาภัพ คนที่อาภัพที่สุด ก็คือคนที่มีพื้นเสีย ทำอะไรไม่ดีขึ้น
วิธีสังเกตพื้นคน
การจะดูพื้นว่าดีหรือไม่ดี เป็นการที่ยากสักหน่อย เพราะเป็นของที่จมอยู่ข้างล่าง หรือแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง เหมือนพื้นรากของโบสถ์ วิหาร ก็จมอยู่ในดิน ไม่ได้ขึ้นมาลอยหน้าอวดใคร ๆ เหมือนช่อฟ้า ใบระกา แต่ถึงจะดูยาก เราก็ต้องพยายาม ต้องหัดดูให้เป็น
วิธีดูพื้นของสิ่งต่าง ๆ ล้วนมีที่สังเกต คือ สังเกตส่วนที่ปรากฏออกมาให้เห็นนั่นเอง เช่นจะดูพื้นถนนว่าดีหรือไม่ดี ก็ดูหลุมบ่อ ดูพื้นตึก ก็ให้ดูรอยร้าว เช่น ถ้าเราเห็นตึกหลังใดมีรอยร้าวตามฝาผนังเป็นทาง ๆ เราก็สันนิษฐานได้ว่า รากหรือพื้นตึกหลังนั้นไม่ดี
รอยร้าวทั้งห้า
การดูพื้นคน ก็ให้ดูรอยร้าวเหมือนกัน อาการที่เป็นรอยร้าวของคนที่สำคัญมี ๕ อย่าง ใช้คำเรียกอย่างสามัญได้ ดังนี้
๑. โหดร้าย
๒. มือไว
๓. ใจเร็ว
๔. ขี้ปด
๕. หมดสติ
ถ้าใครมีรอยร้าวทั้ง ๕ อย่างนี้ปรากฏออกมา ให้พึงรู้เถอะว่า ผู้นั้น เป็นคนพื้นเสีย
อาคารสถานที่ที่พื้นไม่แข็งแรง ถ้าปล่อยไว้เป็นที่ว่างเปล่า เพียงแต่ทรงตัวของมันอยู่บางทีก็อยู่ได้ คือ ทรงรูปร่างอยู่ได้ไม่ทรุดไม่พัง แต่เวลาใช้การ เช่นมีคนขึ้นไปอยู่ หรือนำสิ่งของขึ้นไปเก็บ อาคารจะทนไม่ไหว ประเดี๋ยวก็ทรุด พลาดท่าพังครืนทั้งหลัง เคยมีตัวอย่างมาแล้ว ผู้ที่พื้นเสียก็เหมือนกัน ลำพังเขาเองก็อยู่ได้ แต่พอมีหน้าที่ต้องรองรับเข้า ก็ทนไม่ไหว


การรักษาศีล ๕ เป็นเรื่องของการทำพื้นตัวโดยตรง พื้นตึก นายช่างสร้างด้วยไม้ ด้วยหิน
ปูน ทราย และเหล็ก แต่พื้นคน ต้องสร้างด้วยศีล ลงศีลห้าเป็นพื้นไว้เสียแล้ว รอยร้าวทั้งห้าจะไม่ปรากฏ
๒. ผลทางสังคม การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ซึ่งเรียกว่า สังคม ตั้งแต่ส่วนน้อยจนกระทั่งถึงส่วนใหญ่ จะมีความสุขความเจริญได้ ต้องมีความสงบ (สันติ) เป็นพื้นฐาน ถ้าความสงบมีสุขอื่นก็มีขึ้นได้ ถ้าไม่มีความสงบแล้ว สุขอื่นก็พังทลาย ดังนั้น ความสงบ หรือสันติ จึงเป็นสิ่งที่สังคมต้องการอย่างยิ่ง
ก็ความสงบของสังคมนั้น ย่อมมาจากคนในสังคมแต่ละคนนั่นเองเป็นผู้สงบ ถ้าคนในสังคมเป็นผู้ไม่สงบแล้ว ความสงบของสังคมจะมีไม่ได้เลย
คนรักษาศีล ก็เป็นคนทำความสงบแก่ตนเอง คือ ทำตนเองให้สงบ และการทำตนเองให้สงบ ก็เท่ากับสร้างความสงบให้แก่สังคมโดยตรงนั่นเอง
๓. ผลทางประเทศชาติ การดำรงรักษาประเทศชาติ มีภาระสำคัญยิ่งอยู่ ๒ ประการ คือ ๓.๑ การบำรุงให้ประเทศชาติเจริญ เช่น การเสริมสร้างการศึกษา การบำบัดทุกข์บำรุงสุข การส่งเสริมอาชีพ เป็นต้น และ
๓.๒ การรักษา คือป้องกันการรุกรานจากศัตรู
ทั้ง ๒ ประการนี้รวมเรียกว่า บำรุงรักษาประเทศชาติ ได้มีผู้ข้องใจอยู่ว่า การที่คนรักษาศีล ทำให้การบำรุงรักษาประเทศชาติไม่ได้ผลเต็มที่ ที่คิดดังนี้เป็นเพราะคิดแง่เดียว คือนึกถึงตรงที่ประหัตประหารข้าศึกเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วการบำรุงรักษาชาติ ยังมีอีกร้อยทางพันทางซึ่งมีความสงบเป็นพื้นฐาน และเราได้ความสงบนั้นก็จากบุคคลแต่ละคนซึ่งเป็นผู้มีศีลดังกล่าวแล้ว ลองนึกวาดภาพดูซิว่า ถ้าคนทั้งประเทศทิ้งศีลกันหมด ฆ่าฟันกันอยู่ทั่วไป ลักปล้นฉ้อโกงกันดาษดื่น ล่วงเกินบุตรภรรยากันอย่างไม่มียางอาย โกหกปลิ้นปล้อน และดื่มสุรายาเมา สูบฝิ่นกินกัญชาทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร อย่าว่าแต่จะปราบศัตรูภายนอกเลย แม้แต่จะปราบโจรภายใน ก็ไม่ไหวแล้ว ถึงแม้ยามสงคราม ที่ทหารอุตส่าห์ทิ้งครอบครัวไปรบ ก็เพราะเชื่อแน่ว่าเพื่อนร่วมชาติที่อยู่แนวหลัง จะเป็นคนมีศีล ไม่ข่มเหงครอบครัวเขา และเชื่ออีกว่าครอบครัวเขาเองก็มีศีลมีสัตย์ต่อเขาด้วย
บรรพบุรุษของเรา รักษาประเทศชาติให้อยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะชาวไทย เราพากันรักษาศีล คือ ไม่ทำลายล้างผลาญกันทั้งทางชีวิตร่างกาย ทางทรัพย์ และทางอื่น ๆ เราไม่ทำลายกันและกัน เราควบคุมกันเป็นปึกแผ่น ดินแดนไทยก็เป็นถิ่นที่สงบน่าอยู่ บางคราว มีเหตุร้ายเกิดขึ้น เพราะคนไม่มีศีล เราชาวไทยต้องทำการปราบปรามเหตุการณ์ร้ายนั้น ให้สงบราบคาบอย่างเด็ดขาด การสู้รบนั้น เป็นวิธีสุดท้ายที่เราทำด้วยความรักประเทศชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ของเรา เราต้องการให้ประชาชนพลเมืองมีความสงบสุขเท่านั้น หาใช่กระทำด้วยความเหี้ยมโหดทารุณในจิตใจไม่ เรารักเย็น เราเกลียดร้อน แต่เมื่อไฟไหม้ขึ้นแล้ว เราก็ต้องวิ่งเข้าไปหาไฟ เพื่อจะดับไฟนั้น แม้การเข้าไปดับไฟตัวจะร้อนแทบไหม้ เราก็ต้องยอมทน เพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนใหญ่
การรักษาศีล จึงไม่ได้ทำให้กำลังป้องกันรักษาประเทศชาติของเราอ่อนลง บรรพบุรุษของเรา ท่านได้นำประเทศชาติลุล่วงมาจนถึงตัวเราทุกวันนี้ ท่านก็รักษาศีล คนรักษาศีลเป็นคนอ่อน ก็จริง แต่เป็นการอ่อนโยน ไม่ใช่อ่อนแอ ความอ่อนโยนเป็นเกราะป้องกันตัวดีที่สุด เพราะไม่ทำให้คนอื่นมาเป็นศัตรู การที่เราชาวไทยยึดมั่นในศีล คือชอบสงบเรียบร้อย จึงเป็นการสร้างกำแพงเหล็กกล้าป้องกันประเทศชาติของเราด้วย

วิรัติ
ศีล จะมีได้ก็ด้วยการตั้งเจตนางดเว้นจากความผิดนั้น ๆ ถ้าไม่มีเจตนาจะงดเว้น แม้มิได้ทำการละเมิด เช่นผู้ร้ายที่ถูกจับขังไว้ ขณะที่อยู่ในห้องขังนั้น ไม่ได้ฆ่าคน ไม่ลักของของใคร ก็ไม่นับว่า มีศีล (เว้นแต่เขาจะมีเจตนางดเว้น) เจตนางดเว้นจากการทำผิดศีล เรียกว่า “วิรัติ” มี ๓ อย่าง คือ
๑. สมาทานวิรัติ เจตนางดเว้นด้วยการสมาทานศีลไว้ล่วงหน้า
๒. สัมปัตตวิรัติ เจตนางดเว้นเมื่อเผชิญกับเหตุที่จะทำให้ผิดศีล
๓. สมุจเฉทวิรัติ เจตนางดเว้นเด็ดขาดของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว